Sunday, August 29, 2010

บีโอไอนำร่องหนุน5กิจการลงทุนต่างแดน

นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ ว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เตรียมเสนอแนวทางส่งเสริมการลงทุนไทยไปต่างประเทศต่อที่ประชุมคณะกรรมการบีโอไอที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานวันที่ 13 ก.ย. นี้ เพื่อพิจารณาให้สำนักงานบีโอไอเป็นหน่วยงานประสานงานส่งเสริมลงทุนในต่างประเทศ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์

ภูมิภาคเป้าหมายที่ผู้ประกอบการมีโอกาสไปลงทุน ได้แก่  อาเซียน เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง จีน และ แอฟริกา เบื้องต้นจะส่งเสริมลงทุนในกิจการที่ผู้ประกอบการไทยเชี่ยวชาญ 5 กิจการ คือ 1.เกษตรและเกษตรแปรรูป 2.สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 3.ชิ้นส่วนยานยนต์ 4.ท่องเที่ยวและบริการ 5.ก่อสร้าง ที่ปรึกษาวิศวกรรม และสถาปัตยกรรม

"จะเสนอที่ประชุมบอร์ดบีโอไอให้ กระทรวงการคลัง พิจารณามาตรการภาษีส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปลงทุนต่างประเทศ รวมทั้งหามาตรการทางการเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการ  ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง คาดว่าจะใช้เวลา 6 เดือน ที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่ไปลงทุนต่างประเทศจะมีปัญหาเสียภาษีซ้ำซ้อน กรณีนำกำไรกลับประเทศ "

ส่วนแนวโน้มการลงทุนในต่างประเทศช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่าดีขึ้น  โดย World Investment Report 2010 รายงานว่าปี 2552 ไทยลงทุนในต่างประเทศ จำนวน  3,818 ล้านดอลลาร์ แซงอินโดนีเซียขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ในอาเซียน และเพิ่มขึ้นจากปี 2551 ที่มีมูลค่า 2,560 ล้านดอลลาร์ โดยมาเลเซียเป็นประเทศที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศสูงสุดในอาเซียน มูลค่า 8,038 ล้านดอลลาร์ สิงคโปร์ 5,979 ล้านดอลลาร์ อินโดนีเซีย 2,949 ล้านดอลลาร์ ฟิลิปปินส์ 359 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) รายงานมูลค่าการลงทุนในต่างประเทศสะสมถึงปี 2552 พบว่าสิงคโปร์มีมูลค่าสูงสุด  213,110 ล้านดอลลาร์ มาเลเซีย 75,618 ล้านดอลลาร์ อินโดนีเซีย 30,183 ล้านดอลลาร์   ไทย 16,303 ล้านดอลลาร์  และ ฟิลิปปินส์ 6,095 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 3.8% ของ จีดีพี

กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ 30 สิงหาคม 2553 02:00

Wednesday, August 4, 2010

แนะใช้ FTA รุกตลาด CLMV

การส่งออกสินค้าของไทยไปยังกลุ่มสมาชิกใหม่ของอาเซียน ทั้งกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม (CLMV) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 น่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น หลังจากกลุ่ม CLMV ลดภาษีสินค้าจนเหลือไม่เกินร้อยละ 5 ในช่วงต้นปี ตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังกลุ่ม CLMV ภายใต้กรอบ AFTA เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 (YoY) ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

นอกจากนี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV ที่ยังคงอยู่ในแดนบวกในช่วงครึ่งปีหลังตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โลกโดยเฉพาะการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย ขณะที่ผลกระทบจาก ปัญหาหนี้ในยุโรปต่อกลุ่ม CLMV น่าจะไม่มากนัก กลุ่มประเทศ CLMV จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับภาคการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้

ทั้งนี้ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเจาะตลาด CLMV ควรคำนึงถึงศักยภาพของสินค้าส่งออกไทยและสภาพตลาดของกลุ่ม CLMV เพื่อให้สินค้าไทยเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างแท้จริงและแข่งขันกับสินค้า จากคู่แข่งได้ เพราะการเปิดตลาดสินค้าในกรอบ AFTA อาจจะทำให้สินค้าไทยมีต้นทุนภาษีต่ำลง แต่สินค้าไทยอาจเผชิญกับมาตรการที่มิใช่ภาษีรูปแบบใหม่ รวมถึงการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งที่มี FTA กับ CLMV อย่างจีนและสมาชิกอาเซียน ด้วยกัน

แม้ว่าเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV จะมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจไทย แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้ กับเศรษฐกิจของ CLMV แม้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2552 ที่ประเทศอาเซียนเดิมต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจหดตัว แต่ประเทศ CLMV (ยกเว้นกัมพูชา) ยังคงมีอัตราการขยายตัวเป็นบวก

โดยเฉพาะเศรษฐกิจลาวที่แม้ว่าจะพึ่งพาการขยายตัวของอุตสาหกรรมพลังงาน เหมืองแร่และการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง แต่ยังสามารถขยายถึงร้อยละ 7.2 ในปี 2552 สูงเป็นลำดับที่ 2 ของเอเชียรองจากจีน

ส่วนเศรษฐกิจพม่าได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกค่อนข้างน้อย เพราะถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ทำให้พม่าซึ่งพึ่งพาเศรษฐกิจจีนและประเทศอาเซียนอย่างมาก มีแนวโน้มจะกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้นในปีนี้ตามเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ปรับตัวดี ขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจของกัมพูชาและเวียดนามที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของชาติ ตะวันตกและพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศมากกว่า จึงไม่สามารถหลบเลี่ยงผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกไปได้

ทั้งนี้เศรษฐกิจของกัมพูชาหดตัวถึงร้อยละ 2.5 เพราะรายได้หลักจากการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไปสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปหดตัวลงในปีที่ผ่านมา รวมถึงภาวะฟองสบู่แตก ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกน้อยกว่ากัมพูชา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวียดนามมีตลาดภายใน ประเทศที่ใหญ่กว่ากัมพูชาถึง 6.2 เท่า และชาวเวียดนามมีกำลังซื้อสูงกว่าชาวกัมพูชา อีกปัจจัยหนึ่งคือ เวียดนามพึ่งพาการส่งออกสินค้าหลายชนิดและกระจายตลาดไปทั่วโลก

เศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV ในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้สินที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจยุโรปอยู่ในขณะ นี้ไม่มากนัก

เนื่องจากเศรษฐกิจของ CLMV พึ่งพาการส่งออกและการลงทุนจากประเทศในแถบเอเชียเป็นหลักโดยเฉพาะประเทศใน เอเชียตะวันออกอย่างจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมถึงชาติอาเซียน คือ ไทย สิงคโปร์และมาเลเซีย

โดยเศรษฐกิจของลาวและพม่า มีรายได้หลักจากการส่งออกพลังงาน อาทิ ไฟฟ้าพลังน้ำของลาว รวมถึงน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของพม่าให้กับจีนและอาเซียน ซึ่งเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวสูงในปีนี้

การลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลักของกัมพูชาและเวียดนาม มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ตามภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยเฉพาะประเทศนักลง ทุนหลักคือ เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเลเซียและสิงคโปร์

การเปิดตลาดสินค้าของไทยภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีถึง 6 ฉบับที่ไทยกับกลุ่มประเทศ CLMV มีร่วมกันภายใต้ FTA กรอบอาเซียน ช่วยให้สินค้าไทยได้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในการเข้าสู่ตลาด CLMV ทั้งด้านภาษีและการอำนวยความสะดวก ทางการค้า โดยในปี 2553 มี FTA 2 ฉบับที่กลุ่ม CLMV ลดภาษี สินค้าให้กับไทยจนอยู่ในระดับต่ำและจะทยอยลดภาษีจนเหลือร้อยละ 0 ในอีก 5 ปีคือ AFTA และ FTA อาเซียน-จีน

ขณะที่ FTA อีก 3 ฉบับที่ไทยเพิ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2553 คือ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ FTA อาเซียน-อินเดีย และ FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ถือเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับสินค้าไทยในตลาด CLMV

โดยเฉพาะสินค้าไทยที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศคู่เจรจานอกอาเซียน สูงกว่าร้อยละ 40 สามารถใช้การสะสมแหล่ง กำเนิดสินค้าในการเจาะตลาด CLMV ได้

AFTA และ ACFTA ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังกลุ่ม CLMV ค่อนข้างมากเพราะ AFTA กำหนดให้สมาชิกเดิม 6 ประเทศ ประกอบด้วยไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต้องลดภาษีสินค้าในบัญชีลดภาษีให้เหลือ ร้อยละ 0 ในวันที่ 1 มกราคม 2553 ส่วนสมาชิกใหม่อย่างกลุ่ม CLMV จะลดภาษีลงเหลือร้อยละ 0-5 ในปี 2553 และทยอยลดภาษีให้เหลือร้อยละ 0 ภายในปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่อาเซียนก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

นอกจากนี้ ACFTA กำหนดให้อาเซียนเดิมและจีนลดภาษีระหว่างกันเหลือร้อยละ 0 สำหรับสินค้าปกติ ในวันที่ 1 มกราคม 2553 ขณะที่ CLMV จะลดภาษีเหลือไม่เกินร้อยละ 15 ในปี 2554 และทยอยลดภาษีให้เหลือร้อยละ 0 ภายในปี 2558 หากพิจารณาการลดภาษีของ AFTA และ ACFTA กล่าวได้ว่า ในปี 2553 สินค้าไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการลดภาษีของ CLMV ภายใต้กรอบ AFTA ได้มากกว่า ACFTA และ CLMV ผูกพันการเปิดตลาดสินค้าในกรอบ AFTA หรือมีจำนวนสินค้าที่ที่มีภาษีร้อยละ 0 มากกว่าในกรอบ ACFTA สินค้าไทยใน CLMV จึงน่าจะได้แต้มต่อภายใต้ AFTA มากกว่าสินค้าจากจีน

แม้ว่าการลดหรือยกเลิกภาษีในกรอบ AFTA ในปี 2553 อาจมีผลกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมเพียงเล็กน้อย เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าของอาเซียนเดิมอยู่ในระดับต่ำและสินค้าส่วนใหญ่มี อัตราภาษีร้อยละ 0 ไปแล้ว นอกจากนี้การลดภาษีจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 0 อาจจะให้สินค้าไทยมีต้นทุนทางภาษีลดลงไม่มากนัก แต่การลดภาษีของอาเซียนใหม่จากที่สูงกว่าร้อยละ 60 เหลือไม่เกินร้อยละ 25 ในปีที่ผ่านมา และเหลือไม่เกินร้อยละ 0-5 ในวันที่ 1 มกราคม 2553 ช่วยให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาด อาเซียนใหม่ขยายตัวขึ้น

โดยการส่งออกของไทยไปยังกลุ่ม CLMV ในช่วง 4 เดือน แรกของปี 2553 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.9 (YoY) เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 ที่ร้อยละ 49.7 คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปยังกลุ่ม CLMV ภายใต้กรอบ AFTA น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยและความต้องการสินค้า ในตลาด CLMV ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

การส่งออกสินค้าไปยังตลาด CLMV โดยใช้สิทธิทางภาษีจาก AFTA สามารถขยายตัวเป็นบวกขณะที่การส่งออกไปยังตลาดอาเซียนโดยรวมหดตัวลงในปี 2552 ส่วนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.0 (YoY) สูงกว่าการส่งออกรวมของไทยไปยังตลาด CLMV ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.7 (YoY) โดยตลาดที่ไทยมีมูลค่าการส่งออกภายใต้ AFTA สูงในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 คือ เวียดนามและลาว หลังจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหดตัวถึงกว่าร้อยละ 80.0 (YoY)

หากพิจารณาตลาดส่งออกที่ไทยมีอัตราการใช้สิทธิ AFTA สูง (สัดส่วนการส่งออกภายใต้ AFTA ต่อการส่งออกรวม) พบว่าผู้ส่งออกไทยมีอัตราการใช้สิทธิฯ ไปเวียดนามสูงถึงร้อยละ 55.2 ขณะที่กัมพูชา ลาว และพม่ามีอัตราใช้สิทธิราวร้อยละ 0.6-3.8 สาเหตุหนึ่งที่ไทยใช้สิทธิ AFTA ส่งออกสินค้าไปยังลาว พม่าและกัมพูชาน้อย อาจเป็นเพราะการค้าระหว่างไทยกับทั้งสามประเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดกับไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นการค้าตามแนวชายแดน ซึ่งมักไม่ผ่านระบบภาษีศุลกากรระหว่างประเทศอยู่แล้ว ในขณะที่ การค้ากับเวียดนาม ส่วนหนึ่งเป็นการค้าผ่านแดนจากชายแดนกัมพูชาไปยังเวียดนาม ซึ่งบางส่วนอาจไม่ผ่านระบบศุลกากรเช่นเดียวกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า แม้ว่ากลุ่ม CLMV ยังคงมีขนาดเศรษฐกิจเล็กมากและประชากรส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับอาเซียนเดิม อีกทั้งการลดภาษีภายใต้กรอบ AFTA ที่กลุ่ม CLMV ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนสินค้าส่วนใหญ่มีภาษีนำเข้าไม่เกินร้อยละ 5 สินค้าไทยจึงอาจได้ประโยชน์จากการลดและยกเลิกภาษีของกลุ่ม CLMV ในปี 2558 ไม่มากนัก

แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของ CLMV น่าจะมีอัตราสูงกว่าตลาดอาเซียนเดิมในช่วงปี 2554-2558 ก่อนที่อาเซียนจะก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 อาจทำให้ตลาด CLMV มีศักยภาพเพิ่มขึ้นที่จะรองรับสินค้าจากไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าที่มีอัตราภาษีค่อนข้างสูงในปัจจุบัน อาทิ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและเครื่องดื่มที่ ไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้น่าจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีของ CLMV มากที่สุด

การส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศ CLMV ควรเน้นการคัดเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่จะเข้าไปทำตลาด โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองหลวงและเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่ม CLMV แต่ละประเทศยังคงมีการกระจุกตัวของผู้บริโภคเป้าหมายของสินค้าไทยในบาง พื้นที่เท่านั้น

กระนั้นก็ดี CLMV มิได้มีศักยภาพเพียงการเป็นฐานรองรับสินค้าจากไทยเท่านั้น ในทางกลับกันผู้ประกอบการจากประเทศ CLMV ก็กำลังพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันที่พร้อมจะเบียดชิงพื้นที่ของสินค้า ไทยในอนาคตได้เช่นกัน    

ขอบคุณ
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=87600